โปะบ้านคืออะไร? ช่วยให้ผ่อนหมดเร็วขึ้นจริงไหม?

9 จำนวนผู้เข้าชม  | 

โปะบ้านคืออะไร? ช่วยให้ผ่อนหมดเร็วขึ้นจริงไหม?

การมีบ้านสักหลังเป็นของตัวเองเป็นความฝันของใครหลายคน แต่การต้องผ่อนบ้านยาวนาน 20-30 ปี
อาจทำให้รู้สึกเหมือนแบกภาระก้อนใหญ่ไว้ตลอดชีวิต การโปะบ้านจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ปลดหนี้ได้เร็วขึ้น และลดดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายไปได้เยอะกว่าที่คิด หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าการโปะบ้านไม่ได้มีแค่การจ่ายเงินก้อนใหญ่ แต่สามารถทำได้หลายวิธีตามความเหมาะสมของรายได้และแผนการเงินของแต่ละคน หากเลือกใช้วิธีที่ถูกต้อง ก็สามารถลดเวลาผ่อนบ้านลงได้หลายปี
และประหยัดเงินไปหลายแสน หรืออาจถึงหลักล้านบาทเลยทีเดียว และเมื่อบ้านเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง
การปกป้องบ้านจากความเสียหายจึงสำคัญไม่แพ้กัน

โปะบ้าน คืออะไร?

การโปะบ้านคือการชำระเงินเพิ่มจากค่างวดที่ต้องจ่ายตามปกติ โดยเงินที่จ่ายเพิ่มจะถูกนำไปหักจากเงินต้นโดยตรง
ทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายลดลง และระยะเวลาผ่อนสั้นลง การโปะบ้านช่วยให้เจ้าของบ้านปลดหนี้เร็วขึ้น และประหยัดเงินไปได้เยอะ โดยเฉพาะเมื่อดอกเบี้ยบ้านคิดแบบลดต้นลดดอก ยิ่งลดเงินต้นเร็ว ดอกเบี้ยที่คิดตามยอดเงินกู้ที่เหลืออยู่ก็ลดลงตามไปด้วย

วิธีการโปะบ้าน

1. โปะบ้านเพิ่มทุกงวด
วิธีนี้เป็นการจ่ายเงินเกินกว่าจำนวนที่ต้องผ่อนในแต่ละเดือน ตัวอย่างเช่น หากค่างวดบ้านอยู่ที่ 15,000 บาท
และเพิ่มการจ่ายเป็น 16,500 บาท (เพิ่มขึ้น 10%) เงินที่เพิ่มเข้ามาจะถูกนำไปตัดเงินต้นโดยตรง ทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในอนาคตลดลง วิธีนี้เหมาะกับคนที่มีรายได้ประจำและสามารถจัดสรรเงินเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง

2. โปะบ้านเป็นเงินก้อน
บางคนอาจไม่สะดวกที่จะจ่ายเพิ่มทุกเดือน แต่สามารถนำเงินก้อนไปโปะปีละครั้ง เช่น ได้รับโบนัสประจำปี หรือเงินจากการลงทุน
วิธีนี้ช่วยให้เงินต้นลดลงแบบพรวดเดียว และลดดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในระยะยาว เหมาะกับคนที่มีรายได้เป็นรอบ ๆ เช่น ฟรีแลนซ์
หรือคนที่มีรายรับไม่แน่นอน

การคำนวณดอกเบี้ยบ้านและผลกระทบจากการโปะ
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองดูตัวอย่างนี้

- วงเงินกู้ 2,500,000 บาท
- ดอกเบี้ย 4% ต่อปี
- ผ่อน 30 ปี
- ค่างวดปกติ 11,935 บาท

การคำนวณดอกเบี้ยในงวดแรกจะเป็นดังนี้

- ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย = (2,500,000 x 4% x 30) / 365 = 8,219.18 บาท
- เงินที่ไปลดเงินต้น = 11,935 – 8,219.18 = 3,715.82 บาท
- เงินต้นคงเหลือหลังจ่ายงวดแรก = 2,500,000 – 3,715.82 = 2,496,284.18 บาท

จะเห็นว่าจำนวนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายสูงกว่าเงินต้นที่ถูกหักออกไปเยอะ ถ้าไม่มีการโปะเพิ่ม ดอกเบี้ยก็จะยังคงสูงต่อไปอีกหลายปี

ถ้าโปะเพิ่ม 10% ต่อเดือน ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?
ลองดูว่าถ้าจ่ายค่างวดเพิ่มอีก 10% เป็น 13,128.50 บาท จะได้ผลลัพธ์ดังนี้:

- ดอกเบี้ยยังอยู่ที่ 8,219.18 บาท
- เงินต้นที่ถูกลดลงเพิ่มเป็น 4,909.32 บาท
- เงินต้นคงเหลือ 2,495,090.68 บาท

แม้การเพิ่มค่างวดดูเหมือนจะไม่ได้ส่งผลอะไรมากในงวดเดียว แต่ถ้าทำต่อเนื่อง เงินต้นจะลดลงอย่างรวดเร็ว
และลดระยะเวลาการผ่อนจาก 30 ปี เหลือเพียง 25 ปี 3 เดือน ซึ่งเร็วกว่าการผ่อนปกติถึง 5 ปี

โปะบ้านหรือรีไฟแนนซ์ แบบไหนดีกว่ากัน?
แม้การโปะบ้านจะช่วยลดดอกเบี้ยได้ดี แต่ก็ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งคือการรีไฟแนนซ์ โดยปกติอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารให้
มักจะต่ำเพียง 3 ปีแรก หลังจากนั้นจะปรับขึ้นเป็นอัตราลอยตัว การรีไฟแนนซ์ไปยังธนาคารใหม่ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่า
จึงช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้มาก

วิธีที่ดีที่สุดคือการใช้ทั้งสองวิธีควบคู่กันไป เช่น รีไฟแนนซ์ทุก ๆ 3 ปี และโปะบ้านเพิ่มเดือนละ 10-20%
การทำเช่นนี้จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยและปลดหนี้บ้านได้เร็วที่สุด

วิธีเลือกรีไฟแนนซ์บ้านให้ได้ดอกเบี้ยถูก

1. เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคาร
2. ดูค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าจดจำนอง ค่าประเมินหลักทรัพย์ และค่าอากรแสตมป์
3. พิจารณาโปรโมชั่น เช่น ฟรีค่าจดจำนอง หรืออัตราดอกเบี้ยคงที่
4. เช็กเงื่อนไขของธนาคารเดิม ว่าสามารถลดดอกเบี้ยผ่าน Retention ได้หรือไม่

การวางแผนโปะบ้านให้มีประสิทธิภาพ

- โปะให้ถูกเวลา: ช่วงที่ดีที่สุดคือ 3 ปีแรกที่ดอกเบี้ยต่ำ
- อย่าโปะจนเงินหมดมือ: ควรมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินเสมอ
- ถ้าดอกเบี้ยสูง ควรโปะเยอะขึ้น: ยิ่งดอกเบี้ยแพง การโปะเพิ่มจะช่วยประหยัดเงินมากขึ้น

การคำนวณผลกระทบจากการโปะบ้าน
ถ้าคุณมีเงินเหลือและอยากโปะเพิ่ม สมมติว่าคุณกู้ซื้อบ้านราคา 3,500,000 บาท ผ่อน 30 ปี ดอกเบี้ย 3% ถ้าคุณ

- เพิ่มค่างวด 10%: จะลดระยะเวลาผ่อนเหลือ 24 ปี 3 เดือน และประหยัดดอกเบี้ย 1,058,737 บาท
- เพิ่มค่างวด 30%: จะลดระยะเวลาผ่อนเหลือ 18 ปี 1 เดือน และประหยัดดอกเบี้ย 2,152,332 บาท
- เพิ่มค่างวด 50%: จะลดระยะเวลาผ่อนเหลือ 14 ปี 6 เดือน และประหยัดดอกเบี้ย 2,727,194 บาท

สรุปแล้วการโปะบ้านดีไหม?

การโปะบ้านเป็นกลยุทธ์ทางการเงินที่ช่วยลดภาระหนี้สินและดอกเบี้ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มค่างวด
ในแต่ละเดือน หรือการจ่ายเงินก้อนใหญ่ในช่วงที่มีรายได้พิเศษ ทั้งสองวิธีล้วนช่วยให้เจ้าของบ้านสามารถปลดหนี้ได้เร็วขึ้น
และมีอิสระทางการเงินมากขึ้นในอนาคต แต่ไม่ว่าแผนการเงินจะดีแค่ไหน ความเสี่ยงที่บ้านจะได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ
หรือภัยธรรมชาติก็ยังเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้

5 คำถามที่พบบ่อย

โปะบ้านทุกเดือนกับโปะปีละครั้ง แบบไหนคุ้มกว่ากัน?
ถ้ามีรายได้ประจำ การโปะทุกเดือนช่วยลดดอกเบี้ยและปลดหนี้เร็วขึ้น แต่ถ้ารายรับไม่แน่นอน
การเก็บเงินก้อนมาโปะปีละครั้งก็เป็นตัวเลือกที่ดี

โปะบ้านแล้วดอกเบี้ยลดจริงไหม?
จริง! เพราะเงินที่โปะจะไปลดเงินต้นโดยตรง ทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในอนาคตลดลง ส่งผลให้ผ่อนหมดเร็วขึ้น

ช่วงไหนควรโปะบ้านมากที่สุด?
3 ปีแรก เป็นช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำที่สุด การโปะในช่วงนี้ช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้มากที่สุด

โปะบ้านเยอะไปมีข้อเสียไหม?
ถ้าโปะจนเงินสดขาดมือ อาจกระทบต่อค่าใช้จ่ายจำเป็น ควรคำนวณและกันเงินสำรองฉุกเฉินไว้เสมอ

โปะบ้านอย่างเดียวพอไหม หรือควรรีไฟแนนซ์ด้วย?
ควรใช้ทั้งสองวิธีควบคู่กัน รีไฟแนนซ์ช่วยลดดอกเบี้ย ส่วนการโปะช่วยลดเงินต้น การทำทั้งสองอย่างช่วยปลดหนี้ได้เร็วที่สุด
 
 
 
 
 
#ตรวจบ้าน #ตรวจคอนโด #ตรวจบ้านก่อนโอน #บริษัทรับตรวจบ้าน #บริษัทตรวจบ้าน #บริษัทรับตรวจบ้านPANTIP #ตรวจบ้านเจ้าไหนดี #ตรวจคอนโดเจ้าไหนดี #ตรวจคอนโดบริษัทไหนดี #ตรวจคอนโดกรุงเทพ #ตรวจบ้านราคา #ตรวจบ้านก่อนโอนราคา #จ้างตรวจบ้าน #จ้างตรวจคอนโด #Checklistตรวจบ้าน #Checklistตรวจคอนโด
 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้