ประเด็นสำคัญ
- เมทัลชีทเป็นแผ่นเหล็กรีดบางเคลือบด้วยอลูมิเนียมผสมสังกะสี แล้วทำสีเคลือบทับอีกชั้น มักใช้มุงหลังคาบ้าน
อาคารประเภทต่าง ๆ ทำผนัง ฉากกั้นทั้งชั่วคราวและถาวร ไปจนถึงทำกันสาดกันน้ำฝนสาด
- เมทัลชีทได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะมีน้ำหนักเบา ไม่ต้องกังวลเรื่องโครงสร้างที่ต้องรับน้ำหนัก
แผ่นใหญ่จึงติดตั้งได้รวดเร็ว มีสีให้เลือกหลากหลาย หากทำกันซึมได้มาตรฐาน จะช่วยป้องกันปัญหาการรั่วซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมทัลชีทคืออะไร?
เมทัลชีท (Metal Sheet) คือ แผ่นเหล็กรีดลอน แล้วชุบด้วยอลูมิเนียมผสมสังกะสี หรือที่เรียกว่าอลูซิงก์ (Aluzinc)
แล้วนำไปเคลือบสีให้ได้ตามความต้องการ โดยแผ่นเมทัลชีทนั้นใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหลังคาเมทัลชีท ผนัง บานเกล็ด และแผ่นปิด เพราะเป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย และยังใช้ตกแต่งได้หลายสไตล์ ให้ความรู้สึกที่ทันสมัย
เมทัลชีทต่างจากสังกะสีอย่างไร?
คุณสมบัติ | หลังคาเมทัลชีท | หลังคาสังกะสี |
วัสดุ | เหล็กเคลือบอลูซิงก์ (อลูมิเนียมและสังกะสี) | เหล็กเคลือบโลหะสังกะสี 100% |
ความหนา | หลายขนาดให้เลือก (0.3–0.7 มม.) | โดยทั่วไปจะบางกว่าเมทัลชีท |
อายุการใข้งาน | 10-30 ปี (ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม) | 5–10 ปี |
ความทนทาน | ทนฝน ทนแดด ไม่เป็นสนิม | เสื่อมสภาพเร็วขึ้นเมื่อสัมผัสน้ำฝน |
ราคา | ราคาค่อนข้างสูง แต่คุ้มค่าในระยะยาว | ราคาถูกกว่า แต่เสื่อมสภาพไว |
ข้อดีของเมทัลชีทมีอะไรบ้าง?
1. ติดตั้งได้เร็วกว่า
เนื่องจากแผ่นของเมทัลชีทนั้นใหญ่กว่ากระเบื้องดินเผา หรือวัสดุมุงหลังคาประเภทอื่น ๆ มีความยาวให้เลือกตั้งแต่ 1-12 เมตร
เมื่อนำมามุงหลังคา เมทัลชีทจะใช้เวลามุงน้อยกว่า จึงช่วยประหยัดเวลาในการก่อสร้าง และยังประหยัดค่าแรงได้อีกทางหนึ่งด้วย
2. น้ำหนักเบา ลดการรับน้ำหนักของเสาหรือคาน
แผ่นหลังคาเมทัลชีทถือว่ามีน้ำหนักเบา โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4–6 กก./ตร.ม.
(เทียบกับกระเบื้องซีเมนต์ที่หนักถึง 15–20 กก./ตร.ม.) จึงช่วยลดภาระโครงสร้างเสา คาน และเหมาะสำหรับงานโครงสร้างเบา
เช่น บ้านน็อกดาวน์ โกดัง หรือบ้านโครงเหล็ก
3. ทำขอบยื่นออกมาได้ยาวมากกว่ากระเบื้องดินเผา
สำหรับบ้านที่ต้องการให้มีชายคาให้ร่มเงามากขึ้น การเลือกใช้หลังคาเมทัลชีท จะช่วยออกแบบระยะชายคาได้สะดวกขึ้น
อีกทั้งยังออกแบบเป็นชายคาโค้งที่ดูแล้วเป็นระเบียบเรียบร้อย ป้องกันฝนสาดและกันแดดส่องเข้าบ้านได้ดีขึ้นยิ่งกว่าเดิม
4. ปัญหารั่วซึมน้อยกว่า
เนื่องจากเมทัลชีทเป็นวัสดุมุงหลังคาขนาดใหญ่ จึงมีรอยต่อน้อยกว่ากระเบื้องหลังคาทั่วไป ลดโอกาสเกิดรอยรั่วและการแตกร้าว ทำให้ติดตั้งไดรวดเร็ว ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น เพื่อยืดอายุการใช้งานและป้องกันปัญหาในอนาคต ควรเลือกใช้สกรูที่มีแหวนยางกันน้ำ พร้อมทั้งทำระบบกันซึมอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันน้ำรั่วซึมและหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมในภายหลัง
5. มีสีให้เลือกตามความต้องการ
หลังคาเมทัลชีทในปัจจุบันผลิตด้วยเทคโนโลยีเคลือบสีระบบอบร้อน (Pre-painted Steel) ทำให้มีสีสันให้เลือกหลากหลาย
ตอบโจทย์ความต้องการด้านการตกแต่ง ทั้งสีพื้น สีเมทัลลิก ไปจนถึงสีลายไม้ และยังทนต่อแสงแดดและฝน
เหมาะกับงานตกแต่งหลังคา กันสาด และผนัง
เมทัลชีท เหมาะกับงานแบบไหน?
แผ่นเมทัลชีทถือเป็นวัสดุอเนกประสงค์สำหรับงานตกแต่ง ใช้งานได้ตามจุดต่าง ๆ ของบ้าน โดยเมทัลชีทหนึ่งแผ่น
มีอายุได้นานหลายสิบปี ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม การใช้งาน และสภาพอากาศ ซึ่งส่วนใหญ่ผ่านการทาสีเคลือบป้องกันสนิมแล้ว
จึงใช้งานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น
เมทัลชีทเหมาะกับงานประเภทต่าง ๆ ดังนี้
- ใช้ทำหลังคา: เมทัลชีทมีลอนและความหนาให้เลือกหลากหลาย ใช้งานได้กับบ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ ไปจนถึงโรงงาน
ติดตั้งได้รวดเร็วกว่าเมื่อเทียบกับกระเบื้องดินเผา และลดภาระโครงสร้างอาคาร
- ใช้ทำผนังหรือฉากกั้นพื้นที่: เมทัลชีทนิยมใช้ในบ้านพัก โรงงาน หรือคลังสินค้า สำหรับงานผนังมักเป็นเมทัลชีทลอนเล็ก
ให้ความสวยงามเรียบร้อย และใช้เป็นฉากกั้นแบบถาวรหรือชั่วคราวได้ เหมาะกับการแบ่งสัดส่วนพื้นที่ใช้สอยอย่างรวดเร็ว
กันลม กันฝุ่นได้ดี
- ใช้ทำกันสาด: ด้วยคุณสมบัติดัดโค้งได้และมีสีให้เลือกหลากหลาย เมทัลชีทจึงเหมาะกับการทำกันสาดหน้าบ้าน ที่จอดรถ
หรือมุงรางน้ำ นอกจากจะกันแดด กันฝนได้ดีแล้ว ยังเพิ่มความสวยงามให้กับอาคารได้อีกด้วย
การมุงหลังคาเมทัลชีทต้องทำอย่างไรบ้าง?
1. เตรียมโครงสร้าง
ออกแบบและติดตั้งโครงสร้างหลังคาให้แข็งแรง โดยส่วนใหญ่มักเป็นโครงสร้างเหล็กกล่องหรือโครงเหล็กรูปพรรณ
ควรมีวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบว่าโครงสร้างรับน้ำหนักได้ดี ทนต่อแรงลม และวางตามระยะที่เหมาะสมกับความยาว
ของแผ่นเมทัลชีท เพื่อป้องกันการแอ่นตัวหรือยุบตัวในระยะยาว
2. วัดระยะและวางแนวแผ่นเมทัลชีท
วัดขนาดพื้นที่และกำหนดแนวการวางแผ่นให้ตรงและสม่ำเสมอ โดยควรเริ่มติดตั้งจากด้านล่างขึ้นด้านบน
หรือจากด้านลมพัดไปหาทิศตรงข้าม เพื่อป้องกันน้ำฝนย้อนเข้ารอยต่อแผ่น และเว้นระยะซ้อนทับกันที่เหมาะสม เช่น ลอนซ้อน 1 ลอน และซ้อนตามแนวตั้งประมาณ 20–30 ซม.
3. ยึดแผ่นเมทัลชีทเข้ากับโครงด้วยสกรู
เลือกใช้สกรูปลายสว่านที่มีแหวนยางกันซึม เพื่อป้องกันการรั่วซึมในจุดยึด โดยต้องขันสกรูให้แน่นพอดี ไม่หลวมและไม่แน่นเกินไป
จนอัดยางเสียหาย และที่สำคัญควรเลือกสกรูที่เคลือบกันสนิมแล้ว เพื่อยืดอายุการใช้งาน และควรกำหนดจำนวนสกรูตามคำแนะนำของผู้ผลิต เช่น 4-6 ตัว ต่อ แผ่น ต่อ แนวยึด
4. ติดตั้งแผ่นครอบสันและแผ่นปิดรอยต่อ
บริเวณจุดรอยต่อของหลังคา เช่น สันจั่ว หรือมุมเชิงชาย ควรติดตั้งแผ่นครอบเมทัลชีทเพื่อป้องกันน้ำฝนไหลย้อน
หรือรั่วซึมเข้าไปในโครงสร้าง รวมถึงเสริมความเรียบร้อยให้กับการติดตั้ง โดยควรเลือกสีให้เข้ากับแผ่นหลังคา
เพื่อความสวยงามตามการออกแบบ
5. ตรวจสอบความเรียบร้อยและทำกันซึม
เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ควรตรวจเช็กความเรียบร้อยของแนวแผ่น รอยต่อ การยึดสกรู และบริเวณครอบสันทุกจุด
หากพบช่องว่างหรือรอยรั่ว ควรอุดด้วยวัสดุกันซึม เช่น ซิลิโคนกันน้ำ หรือเทปกันรั่วเมทัลชีทโดยเฉพาะ
จากนั้นจึงทำกันซึมด้วยจระเข้ รูฟ ชิลด์ เพื่อการใช้งานที่ยาวนาน
#ตรวจบ้าน #ตรวจคอนโด #ตรวจบ้านก่อนโอน #บริษัทรับตรวจบ้าน #บริษัทตรวจบ้าน #บริษัทรับตรวจบ้านPANTIP #ตรวจบ้านเจ้าไหนดี #ตรวจคอนโดเจ้าไหนดี #ตรวจคอนโดบริษัทไหนดี #ตรวจคอนโดกรุงเทพ #ตรวจบ้านราคา #ตรวจบ้านก่อนโอนราคา #จ้างตรวจบ้าน #จ้างตรวจคอนโด #Checklistตรวจบ้าน #Checklistตรวจคอนโด